กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่ จะโคจรรอบทางช้างเผือกที่ระยะห่างประมาณ 200,000 ปีแสง เป็นกาแล็กซีแบบไร้รูปทรงหรือมีรูปร่างไม่แน่นอน มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้คล้ายกับก้อนเมฆในยามค่ำคืน อยู่ใกล้ขอบฟ้าทิศใต้ เป็นกาแล็กซีที่อยู่ใกล้เราที่สุดกาแล็กซีแอนโดรเมดา มองเห็นอยู่ในบริเวณท้องฟ้าทางเหนือมีรูปร่างแบบกังหัน เหมือนกาแล็กซีทางช้างเผือก กาแล็กซีแอนโดรเมดาอยู่ห่างจากกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราไกลประมาณ 2 ล้านปีแสง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า M31 หรือ NGC 224
กาแล็กซีกลมรี (Elliptical Galaxy)
กาแล็กซีรูปกลมรี เป็นกาแล็กซีที่มีลักษณะความสมดุลทางรูปร่างสูง มีทั้งชนิดที่แบนมาก แบนน้อย กลมมาก หรือค่อนไปทางรีมาก บางชนิดก็มีรูปร่างลักษณะเกือบเป็นลูกทรงกลมทีเดียว ตัวอย่างของ
กาแล็กซีก้นหอย (Spiral Galaxy) มีรูปร่างแบบก้นหอย มีแขนโค้งเหมือนลายก้นหอย
หรือกังหัน บางทีจึงเรียกว่า กาแล็กซีกังหัน กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรามีรูปร่างแบบก้นหอย
หรือกังหัน บางทีจึงเรียกว่า กาแล็กซีกังหัน กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรามีรูปร่างแบบก้นหอย
เชื่อว่าเป็นวัตถุที่เหลือจากการเกิดระบบสุริยะ
เมื่อมาถูกความดันรังสีของดวงอาทิตย์ผลักดันให้ออกไปอยู่ห่างจาก
บริเวณภายนอกของระบบสุริยะ ระยะทาง1-2 ปีแสง
โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงแหวนวงกลมเรียกว่า Oort cloud
ตามความเชื่อของนักดาราศาสตร์ ชาวดัตช์ชื่อว่า แจน เฮนคริกอ็อร์ต
ช่วงประมาณเดือนที่แล้ว วงการดาราศาสตร์คึกคักอีกครั้ง กับการเปิดตัว superstar คนใหม่แห่งฟากฟ้า นั่นก็คือ ดาวหางโฮล์มส์นั่นเอง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากๆนะครับ เพราะอยู่ๆมันก็สว่างขึ้นมาเป็นล้านเท่าซะงั้น เอาล่ะ วันนี้มารู้จักดาวหางกันให้มากกว่านี้ดีกว่าครับ
ดาวหาง (Comet) เป็นวัตถุหนึ่งในระบบสุริยะของเรา มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือคำว่า Coma ที่แปลว่า “เส้นผม” สำหรับการอธิบายลักษณะของดาวหางได้ดีที่สุดคงเป็นคำว่า “ก้อนน้ำแข็งสกปรก” เพราะดาวหางประกอบด้วยน้ำแข็ง ก๊าซต่างๆเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย นอกจากนี้ยังมีฝุ่นกับหินปะปนอยู่อีกด้วย (เป็นไง สกปรกจริงมั้ยล่ะ) มีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณนอกระบบสุริยะโน่นแน่ะ ในสมัยโบราณ ผู้คนชอบเปรียบเทียบดาวหางว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย เมื่อดาวหางปรากฏครั้งใด ก็จะนำหายนะมาสู่โลกเสมอ จริงๆแล้วมันไม่เกี่ยวกันซักกะนิด มันแค่บังเอิญน่ะครับ แต่ถ้าดาวหางดวงนั้นจะพุ่งมาชนโลก ที่เขาว่าไว้ก็คงจะเป็นจริงแฮะ
ดาวหางประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ 3 ส่วนก็คือ
สิ่งที่ทำให้ดาวหางส่องแสงสว่างขึ้นมาได้ ก็เพราะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ครับ ยิ่งเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากเท่าไหร่ หางก็จะยิ่งยาวขึ้นเท่านั้น สำหรับดางหางที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่น
ดาวหาง McNaught ปี 2007 สว่างที่สุดในรอบ 40 ปี
ดาวหาง Hyakutake ปี 1997
ดาวหาง Helley ปี 1986
เมื่อมาถูกความดันรังสีของดวงอาทิตย์ผลักดันให้ออกไปอยู่ห่างจาก
บริเวณภายนอกของระบบสุริยะ ระยะทาง1-2 ปีแสง
โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงแหวนวงกลมเรียกว่า Oort cloud
ตามความเชื่อของนักดาราศาสตร์ ชาวดัตช์ชื่อว่า แจน เฮนคริกอ็อร์ต
ช่วงประมาณเดือนที่แล้ว วงการดาราศาสตร์คึกคักอีกครั้ง กับการเปิดตัว superstar คนใหม่แห่งฟากฟ้า นั่นก็คือ ดาวหางโฮล์มส์นั่นเอง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากๆนะครับ เพราะอยู่ๆมันก็สว่างขึ้นมาเป็นล้านเท่าซะงั้น เอาล่ะ วันนี้มารู้จักดาวหางกันให้มากกว่านี้ดีกว่าครับ
ดาวหาง (Comet) เป็นวัตถุหนึ่งในระบบสุริยะของเรา มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินคือคำว่า Coma ที่แปลว่า “เส้นผม” สำหรับการอธิบายลักษณะของดาวหางได้ดีที่สุดคงเป็นคำว่า “ก้อนน้ำแข็งสกปรก” เพราะดาวหางประกอบด้วยน้ำแข็ง ก๊าซต่างๆเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย นอกจากนี้ยังมีฝุ่นกับหินปะปนอยู่อีกด้วย (เป็นไง สกปรกจริงมั้ยล่ะ) มีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณนอกระบบสุริยะโน่นแน่ะ ในสมัยโบราณ ผู้คนชอบเปรียบเทียบดาวหางว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย เมื่อดาวหางปรากฏครั้งใด ก็จะนำหายนะมาสู่โลกเสมอ จริงๆแล้วมันไม่เกี่ยวกันซักกะนิด มันแค่บังเอิญน่ะครับ แต่ถ้าดาวหางดวงนั้นจะพุ่งมาชนโลก ที่เขาว่าไว้ก็คงจะเป็นจริงแฮะ
ดาวหางประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ 3 ส่วนก็คือ
- นิวเคลียส (Nucleus) ก็คือก้อนน้ำเข็งที่อยู่ใจกลางดาวหาง
- โคมา (Coma) เป็นกลุ่มก๊าซที่ระเหิดอยู่อย่างหนาแน่น ห้อมล้อมนิวเคลียสไว้
- หาง (Tail) หางมีสองชนิดคือ หางฝุ่นและหางไอออน ส่วนมากที่เราเห็นกันชัดๆนั่นเป็นหางฝุ่นครับ ส่วนหางไอออนนั้น เกิดจากการเรืองแสงของไอออนบริเวณหัวดาวหาง เมื่อได้รับพลังงานจากลมสุริยะครับ
สิ่งที่ทำให้ดาวหางส่องแสงสว่างขึ้นมาได้ ก็เพราะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ครับ ยิ่งเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากเท่าไหร่ หางก็จะยิ่งยาวขึ้นเท่านั้น สำหรับดางหางที่มีชื่อเสียงในอดีต เช่น
ดาวหาง McNaught ปี 2007 สว่างที่สุดในรอบ 40 ปี
ดาวหาง Hyakutake ปี 1997
ดาวหาง Helley ปี 1986